วันจันทร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2559

เลี้ยงลูกให้เป็นคนปกติ


โดยคุณครูศันสนีย์  เพชรย้อย...

โรงเรียนวัดอภยาราม

#  เมื่อไม่มีใครเห็นคุณค่า                                        

เมื่อหนูเอาการ์ดวันแม่ที่ตั้งใจทำสุดฝีมือไปให้แม่  ...แม่บอกว่า.....ขอบใจมากลูก

แต่  เอ.....กลีบดอกไม้ดอกนี้หนูยังไม่ได้ระบายสีเลยนี่นา

  เมื่อหนูอวดแม่ว่า  วันนี้สอบภาษาอังกฤษได้ที่ 1 ของห้อง  ...แม่ถามว่า....แล้วเป็นที่เท่าไหร่ของระดับชั้นคะลูก

  เมื่อหนูเทน้ำไปให้แม่เมื่อแม่กลับจากทำงาน...แม่บอกว่า....วันหลังอย่าใช้แก้วใบนี้มันแพงเดี๋ยวลูกจะทำแตกเอาจ๊ะ

          นั่นเป็นส่วนหนึ่งของคำบอกเล่า  ของน้ำใสเด็กผู้หญิงอายุ 10 ปี คนหนึ่ง  และในทุกเหตุการณ์  น้ำใสก็จะหน้าจ๋อย  คอตก  เดินกลับเข้าห้องของตัวเองไปเงียบๆ  โดยที่แม่ไม่ทันสังเกตว่าลูกเป็นอะไรจนกระทั่ง...เมื่อลูกเริ่มโตเป็นวัยรุ่น

          พ่อแม่เริ่มสังเกตว่า  น้ำใสเป็นเด็กไม่มีความมั่นใจ  แม้คิดอยากทำอะไร  แต่ก็ไม่กล้าเริ่มทำนอกจากนั้น  เวลาอยู่กับพ่อแม่ก็ดูหงุดหงิดอยู่เสมอ

           ความเสียหายอันเกิดจากสิ่งที่ดำเนินต่อเนื่องมานานเป็น 10 ปี  ในกรณีของน้ำใส  คงต้องการเวลาในการซ่อมแซมอยู่พอสมควร

           แต่หมอนำเรื่องนี้มาเล่าเพื่อเตือนใจคุณพ่อคุณแม่ค่ะว่า  ความตั้งใจและพยายามของลูกนั้นเป็นสิ่งมีคุณค่ามหาศาลที่ควรค่าแก่การถูกจัดลำดับความสำคัญไว้เหนือความสมบูรณ์แบบหรือความเป็นหนึ่ง  เพราะหากพ่อแม่เห็นคุณค่าของความตั้งใจและพยายามอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย  ซึ่งก็คงจะไม่แปลกอะไรหากบุคคลที่มีบุคลิกภาพแบบนี้จะประสบความสำเร็จในชีวิต  เมื่อโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่

            แต่หากเขารู้สึกว่าความตั้งใจและพยายามของเขานั้นไร้ความหมายเขาก็จะรู้สึกท้อแท้ไม่อยากคิด  ไม่อยากทำและแน่นอนว่า  ความสำเร็จก็มักจะยิ่งห่างไกลออกไปทุกทีอย่าปล่อยให้กลีบดอกไม้บนงานฝีมือหรือลำดับที่ในชั้นเรียนของลูกกลายเป็นเหตุให้เขาสูญเสียความมั่นใจในตัวเองนะค่ะ

 

...อ้างอิงจาก    หมอก้อย     เพจเลี้ยงลูกให้เป็นคนปกติ 

Crภาพจากhttp://www.twinlifeonline.co.  Ukltoddlers/handprint-cards-spaghetti-art


เลี้ยงลูกอย่างไร "ให้คิดเป็น" ?







            บทความส่งเสริมกระบวนการคิดสำหรับเด็ก                                                โดย...นางกาญจนา  เกื้อเส้ง 


                                                                                                                     ....ครูโรงเรียนวัดอภยาราม

                                                                                      
          ทุกวันนี้ คุณพ่อคุณแม่จำนวนไม่น้อยมักเชื่อมโยงคำว่า คิดเป็นกับคำว่า เรียนเก่งเข้าด้วยกันโดยเชื่อว่า ถ้าลูกเรียนหนังสือเก่งแล้ว ลูกจะสามารถคิดเป็นด้วย ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว คำว่า เรียนเก่งกับคำว่า คิดเป็นนั้นอาจจะเป็นสองคำที่ไม่ได้ไปด้วยกันในรูปแบบของสมการตามที่คุณพ่อคุณแม่คิดหรือนึกไว้ก็ได้กล่าวคือคนที่เรียนเก่งอาจไม่จำเป็นต้องคิดเป็นหรือคนที่คิดเป็นอาจไม่จำเป็นต้องเป็นคนเรียนเก่งก็ได้ซึ่งตัวอย่างก็มีปรากฏให้พบเห็นอยู่ไม่น้อยในสังคมไทยปัจจุบัน เช่น การที่บุคคลที่มีการศึกษาสูง ซึ่งเรามักยกย่องว่าเป็นคนเรียนดีเรียนเก่งแล้วแก้ปัญหาชีวิตของตนโดยการเบียดเบียน หรือทำร้ายชีวิตทั้งของตนเองและผู้อื่น
          ดังนั้น คำถามสำคัญสำหรับคุณพ่อคุณแม่คงไม่ใช่คำถามที่ว่า ทำอย่างไรให้ลูกเรียนเก่งแต่น่าจะเป็นคำถามที่ว่า ทำอย่างไรให้ลูกคิดเป็น และสามารถใช้ชีวิตในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมที่มีแต่ความเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีความสุขมากกว่า


 เมื่อพูดถึง เด็กที่คิดเป็นก็ทำให้นึกไปถึงเด็กที่คิดได้อย่างลึกซึ้ง กว้างไกล สามารถเชื่อมโยงประสบการณ์ต่างๆ ที่พบเห็นในชีวิตประจำวันได้รู้และเข้าใจความต้องการของตนเอง เอื้ออาทรต่อความรู้สึกของผู้อื่น ขณะเดียวกันก็สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในการดำรงชีวิต และการทำงานได้ สามารถปรับตัวเองอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข การที่เด็กจะพัฒนา และเติบโตเป็นบุคคลที่คิดเป็นได้นั้นส่วนหนึ่งย่อมขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดูของคุณพ่อคุณแม่โดยมีหลักการสำคัญๆ ดังนี้
       เปิดโอกาสให้ลูกคิด และตัดสินใจด้วยตนเองบ้าง คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรคิดหรือทำสิ่งต่างๆ ให้ลูกไปเสียทุกอย่าง แต่ควรส่งเสริมให้ลูกได้คิดเพื่อตัวเองด้วย เมื่อคุณครูมอบหมายงานที่ให้ลูกทำ คุณพ่อคุณแม่ควรให้ลูกได้ใช้ความสามารถ และจินตนาการของตนเองในการทำงานดังกล่าว ไม่ควรช่วยคิดหรือทำแทนลูก
       เปิดโอกาสให้ลูกได้เผชิญกับปัญหาหรือความยากลำบากในชีวิตบ้าง คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรปิดกั้นปัญหา หรือความยากลำบากที่อาจเกิดขึ้นกับชีวิตลูก กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือเปิดโอกาสให้ลูกได้เผชิญกับปัญหา และเรียนรู้วิธีการจัดการกับปัญหาด้วยตัวของลูกเอง โดยที่คุณพ่อคุณแม่คอยเฝ้าดูและให้คำแนะนำ ปรึกษาอยู่ห่างๆคุณพ่อคุณแม่หลายท่านไม่ต้องการให้ลูกประสบกับปัญหาใดๆ เลยในชีวิต โดยคอยปกป้องลูกจากปัญหาต่างๆ ที่อาจกล้ำกรายเข้ามา เช่น เมื่อลูกขั้นเรียนใหม่ คุณพ่อคุณแม่ก็พยายามที่จะเลือกห้องเรียนที่ดีที่สุดให้กับลูก เพื่อให้ลูกได้อยู่ท่ามกลางเพื่อนที่เรียนเก่ง เป็นเด็กดี หรือสนิทกับลูกมาก่อน โดยไม่ยอมให้ลูกได้พบกับเพื่อนใหม่ๆ หรือเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงในชีวิตบ้าง คุณพ่อคุณแม่หลายท่านมักอ้างเหตุผลว่ากลัวลูกจะไม่มีเพื่อนบ้าง กลัวลูกจะถูกเพื่อนแกล้งบ้าง ซึ่งในความเป็นจริงของชีวิต    คุณพ่อคุณแม่ต้องไม่ลืมว่า เราไม่อาจติดตามลูกไปในทุกหนทุกแห่ง หรือช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ทุกปัญหาที่เข้ามาในชีวิตของลูกได้ ด้วยเหตุนี้ คุณพ่อคุณแม่ก็คงจำเป็นต้องเปิดโอกาสให้ลูกได้เผชิญกับอุปสรรคต่างๆ ด้วยตนเองบ้างเพื่อให้ลูกได้ฝึกความอดทน ได้รู้จักกับความผิดหวังเมื่อสิ่งต่างๆ จากภายนอกและภายในตนเองได้ ขณะเดียวกันก็ต้องพยายามหักห้ามใจ อย่าสงสารโดยการทำสิ่งหรือบันดาลทุกอย่างให้กับลูก เพื่อให้ลูกได้เรียนรู้การต่อสู้ชีวิต เห็นความไม่แน่นอน และความเปลี่ยนแปลงของสิ่งต่างๆ





         ส่งเสริมให้ลูกมีความรับผิดชอบ ในปัจจุบันคุณพ่อคุณแม่จำนวนมากไม่ค่อยเปิดโอกาสให้ลูกที่เรียนรับผิดชอบสิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง เช่น ถ้าคุณครูมอบหมายงานให้ลูกทำเป็นการบ้าน คุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ มักจะขอร้องให้คุณครูช่วยบอกคุณพ่อ หรือคุณแม่เป็นรายบุคคลอีกครั้งหนึ่ง หรือเขียนเป็นจดหมายบอกคุณพ่อคุณแม่เป็นการส่วนตัว โดยอ้างเหตุผลว่า ลูกไม่ค่อยรับผิดชอบ ไม่ยอมจดสิ่งที่คุณครูสั่งหรือไม่ยอมบอก ทำให้ไม่ได้ทำงานที่ได้รับมอบหมาย อันที่จริงแล้ว คุณพ่อคุณแม่ควรใช้โอกาสดังกล่าวในการฝึกความรับผิดชอบของลูก ถ้าลูกลืมหรือไม่ทำสิ่งที่ได้รับมอบหมาย ลูกจะได้เรียนรู้บทเรียนด้วยตนเองและครั้งต่อไป ลูกจะได้เรียนรู้วิธีการกับปัญหาว่าควรทำอย่างไรเป็นต้นไป


          ฝึกให้ลูกได้ช่วยงานบ้าน หรืองานในกิจวัตรประจำวันบ้าง เช่น ถูบ้าน ล้างจาน รดน้ำต้นไม้ ทั้งนี้เพื่อให้ลูกมีโอกาสทำสิ่งต่างๆ เพื่อผู้อื่นบ้างฝึกการลงมือปฏิบัติจริง เรียนรู้ที่จะช่วยเหลือตนเอง และได้บทเรียนจากการทำงานรวมตลอดถึงเปิดโอกาสให้ลูกได้อยู่กับตนเอง ทั้งนี้เพื่อเรียนรู้และชื่นชมความงามของธรรมชาติรอบตัว




        ส่งเสริมความอยากรู้อยากเห็นของลูก โดยเปิดโอกาสให้ลูกซักถามหรือแสดงความคิดเห็นขณะเดียวกันก็อาจชวนให้ลูกสังเกตความเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ รอบตัว
หลักการต่างๆ ที่กล่าวถึงข้างต้นเป็นเพียงแนวทางที่นำไปสู่การพัฒนาการคิดของลูก อย่างไรก็ตาม
        หัวใจสำคัญที่สุดคือสัมพันธภาพที่อบอุ่นในครอบครัว เพราะจะช่วยให้เด็กอยู่ในสังคมแห่งการเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีความสุข


 


“”””””””””””””””””””””””””””””””””””””



ข่าวการศึกษา